หลังจากรถเข็นผู้ป่วยได้เคลื่อนย้ายมาจากห้องพักฟื้น
ทุกอย่างดูสดใสขึ้นทันที
แต่สิ่งที่ปวดร้าวที่สุดคือการเคลื่อนย้ายจากรถเข็นผู้ป่วยมายังเตียงผู้ป่วย
ซึ่งตอนนั้น ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย
อาการเวียนหัวเข้าครอบงำอย่างหาที่สุดมิได้
อาการนี้มันจะหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ทุกคนทั้ง คุณพ่อ คุณแม่ คุณสามี พยายามลุ้นเราอย่างสุดชีวิต
บอกคุณพยาบาลให้ยกเบาๆ หน่อยค่ะ
หลังจากที่ได้ย้ายมาอยู่ที่เตียงผู้ป่วยแล้ว
ทุกอย่างก็ถูกปิดฉากลงด้วยความอ่อนเพลีย
ขณะนั้นเวลา 18.30 น.
รู้สึกตัวตื่นมาก็เมื่อพยาบาลมาวัดความดัน วัดไข้
พอตื่นขึ้นมาก็ร้องเวียนหัวๆๆๆ จะอาเจียนๆๆ
พอจะโก่งคออาเจียน โอ้ยยๆๆ เจ้ากรรม ปวดท้องอย่างรุนแรง
เป็นอันว่าการอาเจียนไม่ประสบความสำเร็จ พอจะโก่งคอก็เจ็บท้องน้อยขึ้นมาทันที
เอาวะไม่อ้วกก็ได้ นอนๆๆ ทีนี้อาการปวดคอมาเยอะมากกก
ทนไม่ไหวเลยต้องขอยาแก้ปวด ยาชา ยาแก้อักเสบ ขอๆๆๆๆ ทุกอย่างที่สามารถให้ได้
แต่ยาที่ได้ถูกใส่ให้ทางสายน้ำเกลือ เหมือนกับว่ามันไม่ออกฤทธิ์เลย อย่างไงอย่างงั้น
เพราะไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่มีหายไปเลย
เอาวะ...ทางเลือกทุดท้าย ข่มตาหลับๆๆ
คุณสามีก็คอยลุกดูๆ เป็นไงบ้าง
พลอยไม่ได้ทั้งคืนไปด้วยกัน
พอเราตื่นขึ้นมามองไปที่โซฟาก็เห็นคุณสามีลืมตาแป๋วมองเราตลอด
พอผ่านไป 1 ชั่วโมง พยาบาลมาอีกแล้ว สรุปจะปลุกเราทั้งคืนไหมเนี่ย วัดความดัน วัดไข้
เสร็จก็นอนต่อ แต่ที่นี้นอนไม่หลับเลย
กดออด 1 ครั้งขอยานอนหลับ พยาบาลบอกว่าให้แล้ว ไหงไม่หลับๆ อย่ามาหลอก นอนก็นอน
กดออดอีกครั้งที่ 2 ขอยาแก้ปวดเริ่มมีอาการปวดท้อง จี๊ดๆๆ ชาๆๆ
หมดแรงหลับต่อเพราะฤทธิ์ยา พยาบาลมาวัดความดัน และวัดไข้ทุก 1 ชั่วโมง
สรุปคืนแรกของการนอนโรงพยาบาลหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน
เช้าเวลา 06.00 น. พยาบาลก็มาวัดไข้ วัดความดันตามปกติ
มีการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เราด้วย
นอนเหมือนไม่มีความรู้สึกอยู่บนเตียงผู้ป่วย
ทุกอย่างถูกดำเนินไปอย่างเรียบร้อย
ท่ามกลางสายที่ระโยงระยางเต็มไปหมด
สายน้ำเกลือถูกกดทับทำให้เลือดไหลออกมาตามสาย
ก็ทำได้แค่นอนมอง
ไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนขึ้น
ต้องให้คุณสามีมาช่วยยกแขนชูขึ้นจนเลือดไหลกลับ
แล้วนอนต่อ น้ำเกลือค่อยๆ หยดลงมาจากขวดอย่างช้าๆ
ท้องเริ่มมีอาการปวดแบบจุกๆๆ เริ่มขยับเขยือนตัวไม่ได้
อาหารเช้าวันนี้ยังถูกงดต่อไปอีก
อยากลงไปเข้าห้องน้ำก็ทำไม่ได้ รู้สึกว่าเตียงผู้ป่วยที่นอนอยู่สูงมาก ลงยังไงวะเนี่ย 555+
คุณพยาบาลเข้ามาเลยรีบบถามเลยว่า "เมื่ไหร่ทานข้าวได้ค่ะ"
พยาบาลบอกว่ารอหมอมาตรวจก่อนค่ะ
เวลา 09.00 น. คุณหมอมาแล้วววว มาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม
แต่มาแจ้งข่าวร้าย.......ผลการผ่าตัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี
ได้ทำการ "ตัดรังไข่ข้างขวาออกทั้งข้างเพราะเนื้อของ Chocolate Cyst
กินเนื้อรังไข่ไปหมดเลย ไม่สามารถเลาะออกได้
จึงต้องทำการตัดรังไข่ออกทั้งหมด" ย้ำ ตัดรังไข่ออกทั้งหมด"
นี่ข่าวดีหรือข่าวร้ายเนี่ย???
งง สับสน อยู่พักนึง ถามอย่างเร็วว่าแล้วจะมีบุตรได้ไหมค่ะ
หมอก็ตอบว่าเร็วเหมือนกันว่า "มีได้ครับ แต่ยากหน่อย"
อ้าวๆๆ เป้าหมายหลักเลยนะนั่น แล้วคุณหมอก็บอกต่ออีกว่า
ส่วนข้างซ้าย ไม่ได้ไปยุ่งกะมัน
เพราะถ้ามันเกิดเป็นเยอะแล้วไม่สามารถเลาะได้อีกจะเป็นการสูญเสียรังไข่ทั้งสองข้าง
จึงเก็บทั้งรังไข่และ Chocolate Cyst ข้างซ้ายไว้อย่างเดิม
เศร้าอยู่พักนึง เอาวะมันต้องวิธีซิ....อาการวันนี้ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อวานแต่ปวดท้องมากขึ้น
ไม่เจ็บแผลเลย ได้ถอดสายน้ำเกลือ และสายปัสสาวะแล้ว
อืม...ค่อยสบายตัวหน่อย ลุกเข้าห้องน้ำได้แล้ว
แต่พอลงจากเตียงได้ไม่สามารถยืดตัวให้ตรงได้ต้องอุ้มท้องไปด้วย
ก็ได้เข้าไปนั่งชักโครกในห้องน้ำ
รู้สึกสบายแต่ไม่ได้ปลดปล่อยทุกข์แต่อย่างใด
เหมือนอยากลุกขึ้น อยากเดิน อยากนั่ง มากกว่านอนอยู่บนเตียง แบบนั้น
แต่ก็นั่งได้ไม่นานอยากกลับไปนอนอยู่ดี
เข้าใจความวุ่นวายของคนป่วยจิงๆ อยากโน่นอยากนี่ อยากได้ อยากกิน แต่ทำไม่ได้
พอมื้อเที่ยงได้รับประทานอาหารแล้ว
เย้ๆๆ รถที่เข็นเข้ามามีเพียงน้ำซุปถ้วยเล็กๆ เท่านั้น
พอเปิดถ้วยดูเป็นน้ำขิงอุ่นๆ ให้เราซดแค่นั้น
แค่นั้นจิงๆ เอายังไม่หายอิ่มเลย หมดล่ะ
ก็นอนอยู่บนเตียงแบบนั้นทั้งวันผ่านไปอีก 1 วัน 1 คืน
เรียบร้อยดีไม่มีปัญหาใดๆ
หลังจากผ่านพ้นไป 3 วัน 3 คืน
เที่ยงวันนี้คุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้
เย้ๆๆๆ รีบเก็บข้าวของ เปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว รอคุณพ่อกะคุณแม่มารับ
(มาจ่ายตังส์ให้ออกจากโรงพยาบาล)
คุณสามีก็ดูจะอ่อนเพลียจากการเฝ้าไข้คนป่วยมา 3 วัน 3 คืน เต็มๆ
ขอบคุณคุณหมอ คุณพยาบาล ที่ทำให้การผ่าตัดครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี
ขอบคุณกำลังจากพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ทุกคนที่มาเยี่ยมและมาให้กำลังใจ
ขอบคุณคุณสามีที่คอยอยู่เคียงข้างตลอดมาและตลอดไป
ขอบคุณ คุณพ่อ-คุณแม่ ดูแลเราอย่างดีที่สุด รักท่านทั้งสองมากๆ เลยค่ะ